แนวคิด – ปรัชญาและบทบาทของ CFBT
โดยนายเฉลิมชัย จิตตะยโศธร
ประธานกรรมการมูลนิธิธรรมิกชนฯคนแรก ( ปี 2526-2530)
ผู้อำนวยการมูลนิธิธรรมิกชนฯ (ปี 2542-2559)
ปัจจุบัน; ที่ปรึกษาอาวุโสมูลนิธิธรรมิกชนฯ
*****************************************************************************************************************
ย้อนอดีตไปเมื่อปี 2521 ตั้งแต่เริ่มโครงการ สถานคริสเตียนสงเคราะห์การศึกษาคนตาบอด ที่บ้านเช่าซอยธารทิพย์ ถนนประชาสโมสร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มาจนถึงปัจจุบัน มูลนิธิโดยการนำของผู้นำในทุกช่วงการนำ ได้พยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักทุกรูปแบบพร้อมทั้งพัฒนาการบริหารจัดการและการให้การบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยคนตาบอดให้สามารถดำรงชีพในสังคมได้อย่างเท่าเทียม โดยสรุปหลักยึดแนวคิดในการดำเนินกิจการของธรรมิกชนที่ผ่านมามีดังนี้
แนวคิด - ปรัชญาการทำงานของ CFBT
1. เรายอมรับและยึดแนวทางตามที่ประชาคมโลกได้ให้ความสำคัญกับคนพิการ โดยสหประชาชาติได้มีปฏิญญาว่าด้วย สิทธิของคนพิการทางสมองและปัญญา, ปฏิญญาว่าด้วย สิทธิของคนพิการ, อนุสัญญาว่าด้วยการฟื้นฟูสมรรถภาพและการจ้างงาน (คนพิการ), กฎมาตรฐานในการสร้างความเสมอภาคทางโอกาสสำหรับคนพิการ รวมทั้งความต้องการพิเศษด้านการศึกษา
2. ยอมรับว่าพื้นฐานและการก่อกำเนิดของธรรมิกชนมาจากความเชื่อและศรัทธาของคริสต์เตียนโดยมีนัยสำคัญดังนี้
2.1 เชื่อว่ามูลนิธิได้ถูกกำหนดโดยพระเจ้าให้เป็นเครื่องมือที่จะนำความรอดมาสู่ผู้ที่มีความบกพร่องทางการเห็น ดังนั้นการดำเนินการทุกประการจะต้องสะอาดโปร่งใส เปี่ยมด้วยคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงาม
2.2 เชื่อว่าพระเจ้าให้ศักยภาพแก่ผู้ที่มีความบกพร่องทางการเห็นเท่าเทียมกับคนปกติ
2.3 ทรัพย์สมบัติที่ได้มาไม่ใช่ของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมา เพื่อใช้ในภารกิจส่งเสริมช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางการเห็น เราจะนำใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ที่มีความบกพร่องทางการเห็น
3. เราจะทุ่มเท ตอบสนองทุกวิถีทางที่จะป้องกัน ส่งเสริม ช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางการเห็น ให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างราบรื่น มีศักดิ์ศรีตามศักยภาพที่พระเจ้าประทาน ให้
4. เราจะร่วมมือกับภาครัฐและทุกภาคส่วนของสังคมในการช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็นให้สามารถดำเนินชีพในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี
การดำเนินบทบาทของมูลนิธิ
1) บทบาทในการเป็นผู้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (Change Agent = Agency to bring about social value change)
คนโดยทั่วไปมักจะคิดว่า ผู้พิการทางการเห็นเป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถจะช่วยเหลือตนเองได้ ไร้สมรรถภาพในการดำรงชีวิต ไม่สามารถเรียนหนังสือหรือศึกษาเล่าเรียนได้ ไม่สามารถพัฒนาได้ ดังนั้นผู้พิการทางการเห็นจึงถูกลืม หรือจัดอยู่ในกลุ่มประเภทบุคคลที่ไร้คุณค่าของสังคม เป็นได้เพียงขอทานเท่านั้น
ดังนั้นมูลนิธิฯจะเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ ของสังคมทั่วไปว่า คนพิการทางการเห็น(ตาบอด) ไม่ไร้สมรรถภาพ ไม่ไร้ความสามารถ เขาจะสามารถศึกษาเล่าเรียนประกอบอาชีพได้ดีเท่าๆกับคนปกติ เขาจะไม่เป็นภาระของสังคม เขาจะสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาไปสู่การพึ่งพาตนเองได้โดยไม่ต้องเป็นภาระของใคร ถ้าสังคมให้โอกาสแก่เขา
2) บทบาทในการเป็นผู้สาธิต (Demonstrator = to make the people know the possibilities.)
การที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดและทัศนคติที่ว่า ผู้พิการทางการเห็นสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาตนเองได้ ถ้าให้โอกาสแก่เขานั้น จะต้องมีการสาธิต การทดลองทำให้เห็นอย่างจริงจังจนบังเกิดผลสำเร็จ ซึ่งจะเป็นเครื่องบ่งชี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้พิการทางการเห็น(ตาบอด) มีความสามารถพัฒนาตนเองได้ สามารถเรียนรู้ได้เช่นเดียวกันกับผู้ปกติทั้งหลาย ตัวอย่างเช่น โครงการเรียนร่วมที่มูลนิธิธรรมิกชนฯได้ดำเนินการในโรงเรียนการศึกษาคนตาบอด จำนวน 5 โรงเรียน จนประสบผลสำเร็จและเป็นที่ยอมรับของรัฐและต่อมา รัฐจึงได้ออกกฎหมายให้โรงเรียนของรัฐรับนักเรียนพิการเข้าเรียนร่วมกับเด็กนักเรียนปกติ
ดังนั้นมูลนิธิฯจึงต้องเป็นผู้ที่ทดลองทำ หรือสาธิตให้องค์กรรัฐหรือองค์กรเอกชนอื่นหรือสังคมเห็นว่า การให้การช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็น(ตาบอด) เพื่อให้เขามีโอกาสพัฒนาตนเองได้นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
3) บทบาทในการเป็นเป็นตัวเร่ง ผลักดันให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น/ดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง และเร็วขึ้น(Accelerator)
เมื่อทัศนคติเปลี่ยนแปลง แนวความคิดได้รับการยอมรับ แต่การที่จะก่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างจริงจังนั้นจะเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากมีข้อจำกัด อุปสรรคและปัญหามากมาย
ดังนั้นมูลนิธิฯ จึงเป็นผู้ที่จะต้องผลักดันและดำเนินการทุกวิถีทางที่จะให้การช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็น เช่นผลักดันให้มีกฎหมายรองรับสิทธิต่างๆของคนพิการ ผลักดันในสถาบันการศึกษาต่างๆให้ยอมที่จะรับคนพิการทางการเห็น(ตาบอด) เข้าศึกษาเล่าเรียนร่วมกับเด็กปกติ และอื่นๆอีก
4) บทบาทในการเป็นผู้ประสานที่ก่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ (Coordinator)
ในการให้การช่วยเหลือผู้พิการนั้น ผู้ที่รับผิดชอบ(รัฐ) และองค์กรที่ทำงานในด้านนี้ซึ่งมีอยู่หลายองค์กรและแต่ละองค์กรก็จะมีลักษณะ/ รูปแบบ / วิธีการทำงานและวัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไป
ดังนั้นมูลนิธิฯจะต้องเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานและองค์กรอื่นๆ เพื่อให้การช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็นมีประสิทธิผลและเขาเหล่านั้นได้รับประโยชน์สูงสุด
5) บทบาทในการเป็นผู้ร่วมงานกับองค์กรอื่น (Partner)
เป็นที่ทราบว่า การให้การช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็นนั้นไม่ได้มีเพียงองค์กรหนึ่งองค์กรเดียว แต่ละองค์กรต่างก็ให้ความช่วยเหลือในชนิดและรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป บางองค์กรก็ทำงานทั้งๆที่มีทรัพยากรไม่เพียงพอ, บุคลากรไม่เพียงพอ, ความรอบรู้ทางวิชาการไม่เพียงพอ และอื่นๆ การร่วมมือกัน ช่วยกันทำงาน แบ่งปันทรัพยากร ความรอบรู้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการให้การช่วยเหลือผู้พิการอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นมูลนิธิฯจะแสวงหาและให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อก่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้พิการทางการเห็น
6) บทบาทในการเป็นนักปฏิบัติการ (Operator)
ในการให้การช่วยเหลือบางอย่าง รัฐยังไม่สามารถดำเนินการตอบสนองต่อความต้องการของผู้พิการ ทางการเห็นได้ หรือได้แต่ไม่ทันท่วงที ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจากงบประมาณไม่เพียงพอ กฎหมายไม่เอื้ออำนวยหรือระบบการทำงานที่ล่าช้า และ อื่นๆ
ดังนั้น เพื่อตอบสนองให้ทันต่อความต้องการของผู้พิการทางการเห็น มูลนิธิฯจึงต้องดำเนินการเองในกิจกรรมที่รัฐหรือหน่วยงานอื่นไม่ได้ดำเนินการหรือไม่สามารถดำเนินการได้
7) บทบาทในการเป็นผู้ให้การสนับสนุนและให้บริการต่างๆ (Supporter)
การให้การช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็น จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง จะต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูงและเฉพาะทางเป็นจำนวนมาก จะอาศัยงบประมาณจากทางรัฐอย่างเดียวไม่เพียงพอและไม่ทันท่วงที
ดังนั้นมูลนิธิฯจึงต้องเข้ามามีส่วนช่วยเหลือให้การสนับสนุนแก่ผู้พิการทางการเห็น จนกว่ารัฐจะสามารถให้การบริการได้อย่างทั่วถึง
8) บทบาทในการเป็น เป็นนักวิจัย คิดค้นสิ่งใหม่ (Researcher)
การให้การช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็นนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จโดยเฉพาะ วิธีการและรูปแบบและการให้การช่วยเหลือจะต้องได้รับการประเมินผลและปรับปรุงใหม่อยู่เสมอเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสะถานการปัจจุบัน (ต้องคิดใหม่ ทำใหม่อยู่เสมอ)
ดังนั้นมูลนิธิฯจึงจะเป็นผู้ทำการคิดค้นแนวทางใหม่ๆหรือจัดหาวัสดุอุปกรณ์ใหม่ๆมาใช้เพื่อก่อเกิดประโยชน์สูงสุด
9) บทบาทในการเป็น เป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator =Prepare the way to make things possible)
บางครั้งในการดำเนินภารกิจช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็นนั้น มีหน่วยงานรัฐ หรือองค์กรเอกชนอื่นกำลังจะดำเนินการหรือกำลังดำเนินการอยู่ ก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปดำเนินการอีกให้เป็นการซ้ำซ้อน แต่มูลนิธิฯจะให้ความช่วยเหลือหรือเอื้ออำนวยในด้านตางๆเพื่อให้องค์กรรัฐหรือองค์กรเอกชนอื่นที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิผล
10) บทบาทในการเป็นที่ปรึกษา / ให้คำแนะนำ (Counselor)
เนื่องจากองค์กรเอกชนมักจะเป็นองค์กรที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่นเชี่ยวชาญทางการให้การช่วยเหลือคนตาบอด, ตาบอดพิการซ้ำซ้อน, Autistic, เป็นใบ้ หรือพิการทางร่างกาย ดังนั้นองค์กรเอกชนที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางนี้ จะสามารถให้ความรู้ คำแนะนำแก่องค์กรเอกชนอื่นหรือองค์กรรัฐ